เขียนโดย orbix • หมวดหมู่ คริปโท 101 • 16 ม.ค. 2567 • เวลาอ่าน 2 นาที
บทความถัดไป
Content Writer
RSI มาจากคำว่า Relative Strength Index คือ อินดิเคเตอร์ตัวชี้วัดความแข็งแรงของตลาด
สำหรับมือใหม่ในวงการ Cryptocurrency คงเคยได้ยินชื่อ Bitcoin ETF จากข่าวกองทุน ข่าวประเด็นปัจจัยที่อาจส่งผลต่อตลาดคริปโต ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วจนถึงต้นปีนี้ เรามาดูกันดีกว่าว่ากองทุน Bitcoin ETF คืออะไร? แล้วทำไมไม่ลงทุนใน Bitcoin โดยตรงเลย? เราจะมาเล่าให้ฟัง
orbix
22 ธ.ค. 2566
2 นาที
orbix
12 ม.ค. 2567
3 นาที
“เงิน” ที่เรารู้จักว่าเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าในปัจจุบัน แต่ในอดีตประวัติศาสตร์ เราใช้อะไรแทนเงินมาดูกันจากบทความนี้เลย “วิวัฒนาการของเงิน”
🔷Barter Trade 6000 ปี ก่อนคริสตกาล
ระบบการแลกเปลี่ยนแบบของต่อของ (barter system) คือ การแลกเปลี่ยนของตามที่ตกลงกัน แต่ข้อเสียของระบบ Barter Trade นั้นมีหลายประการด้วยกัน แต่เหตุผลหลักคือ มันไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจนว่าการนำสินค้ามาแลกเปลี่ยนกัน ต้องแลกเปลี่ยนกันในอัตราเท่าไร รวมถึงความยากลำบากในการพกพาและการขนส่งอีกด้วย
🔷ทองคำ (ค.ศ.1816)
เมื่อ Barter Trade มีประสิทธิภาพต่ำ จึงเริ่มมีการใช้สิ่งของบางอย่างมาเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนตั้งแต่เปลือกหอย ยันไปถึงโลหะประเภทต่าง ๆ จนในท้ายที่สุด สิ่งที่ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนในการแลกเปลี่ยนเป็นที่ยอมรับอย่างเป็นสากลที่สุดก็คือราชาโลหะอย่างทองคำนั่นเอง ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ทองคำนั้นถูกเลือกเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนก็คือ ความหาได้ยาก พิสูจน์ความจริงแท้ได้ง่าย และที่สำคัญคือมนุษย์สามารถเเทรกแซงกำลังการผลิตทองคำได้ยากมาก
🔷Gold Standard (ค.ศ.1870 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20)
เมื่อใช้ไปได้ซักระยะหนึ่ง ทองคำเองก็มีปัญหาในการนำไปใช้งานเช่นกันเพราะจริงอยู่ที่มันมีความสะดวกกว่าระบบ Barter Trade แต่ก็ยังยุ่งยากอยู่ดีในการพกพาเคลื่อนย้าย หรือแบ่งซอยให้เล็กลง จึงมีการพัฒนานำเงินกระดาษและเหรียญเข้ามาใช้ แต่เงินกระดาษและเหรียญเหล่านั้นก็ยังถูก Peg ไว้ด้วยทองคำอยู่กล่าวคือ เงินกระดาษและเหรียญทั้งหมดถูก Back ไว้ด้วยทองคำนั่นเอง
🔷Bretton Wood System (ช่วง ค.ศ. 1944-1971)
การเกิดสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ส่งผลให้เงินกระดาษเพิ่มมากขึ้นจนทำให้ไม่สมดุลกับปริมาณทองคำ และประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ ขั้วอำนาจของโลกได้เปลี่ยนไปจากประเทศในฝั่งยุโรปย้ายฝั่งมาเป็นทางสหรัฐอเมริกาแทน เนื่องจากประเทศในแถบยุโรปได้รับความบอบช้ำจากภาวะสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง รวมถึงสหรัฐฯ เองเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่กับประเทศทางฝั่งยุโรปที่รบกันมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางสหรัฐฯ ได้ขอให้ประเทศแต่ละประเทศชำระหนี้ด้วยทองคำแทนเงินกระดาษ
ในส่วนของรายละเอียดของระบบ Bretton Woods นั้นก็มีความคล้ายคลึงอยู่กับระบบ Gold Standard เดิม แต่ที่แตกต่างไปก็คือ มีการกำหนดให้ทองคำและเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ และกำหนดให้เงินดอลลาร์มีค่าคงที่กับทองคำ โดยได้กำหนดให้ทองคำ 1 ออนซ์ เท่ากับ 35 ดอลลาร์ และดอลลาร์สามารถเปลี่ยนเป็นทองคำได้โดยไม่จำกัด จะเห็นได้ว่าจากเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้ความน่าเชื่อถือของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นที่ยอมรับจากทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ และข้อเสนอดังกล่าวนี้แหละที่เป็นต้นเหตุให้ราคาทองคำและเงินดอลลาร์สหรัฐฯสวนทางกันในปัจจุบันนี้
โดยเราอาจสรุปได้ว่าระบบ Bretton Woods นี้เองที่ทำให้สหรัฐฯมีบทบาทมากที่สุดในระบบเศรษฐกิจโลกซึ่งลากยาวมาถึงปัจจุบันนี้ เนื่องมาจากเงื่อนไขสำคัญที่ให้ทุกชาติต้องผูกค่าเงินไว้กับทองคำหรือดอลลาร์และกำหนดให้ทุกประเทศสามารถนำเงินดอลลาร์ที่ตนมีมาแลกกับทองคำจากสหรัฐฯ ได้ในอัตรา 35 ดอลลาร์ต่อ 1 ออนซ์
🔷ยุคปัจจุบัน Fiat System (ค.ศ. 1971-ยุคปัจจุบัน)
ในวันที่ 15 สิงหาคม 1971 ประวัติศาสตร์การเงินของโลกได้บันทึกไว้ว่า เป็นวัน ‘Nixon’s Shock’ เนื่องจากเป็นวันที่ประเทศสหรัฐฯ ประกาศงดรับแลกเงินดอลลาร์ เป็นทองคำ และถือเป็นการล่มสลายของระบบ Bretton Woods ไปด้วยนั่นเอง ซึ่งเหตุการณ์ ณ ตอนนั้นทำให้หลายฝ่ายเชื่อกันว่ามันคือจุดจบของเงินดอลลาร์และทางสหรัฐฯ ไปในตัวแต่ในเรื่องจริงแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น
เพราะปริมาณเงินดอลลาร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในช่วงนั้นได้กระจัดกระจายไปอยู่กับทุกๆประเทศและถือเงินดอลลาร์เป็นหนึ่งในทุนสำรองกันทั้งหมด โดยเฉพาะประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯมาตลอด เช่น ญี่ปุ่น พูดง่าย ๆ ก็คือทุกประเทศเก็บสะสมความมั่งคั่งของตัวเองในรูปเงินดอลลาร์กันไปเป็นจำนวนมาก (แม้จะเก็บทองคำด้วย แต่ก็ยังน้อยกว่าดอลลาร์อยู่ดี) การยุติบทบาทของดอลลาร์จะเป็นการทำให้ระบบการเงินของโลกพังครืนลงเลยทีเดียว ซึ่งทุก ๆ ประเทศคงไม่ยอม
สำหรับ Fiat System นั้นสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย ๆ เลย คือระบบการเงินที่ไม่จำเป็นต้องมีอะไรมาหนุนอีกต่อไปแค่เชื่อใจในประเทศนั้นก็พอแบบนี้เลยครับ ซึ่งมันแทบจะแตกต่างจากยุคก่อนอย่างสิ้นเชิง โดยสาเหตุที่ระบบมันออกมาเป็นแบบนี้ก็เพราะ มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ เองไม่รู้จะหาทางลงอย่างไรหลังจากการล่มสลายของ Bretton Woods เพราะปริมาณดอลลาร์ในระบบนั้นมันมหาศาลมากนั่นเองก็เลยสรุปว่าให้เชื่อในตัวเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เอง ซึ่งทุกประเทศก็ต้องยอมไปเพราะตอนนั้นดอลลาร์มันได้กระจายอยู่ทุกส่วนในโลกไปหมดแล้ว
🔷ยุคอนาคต (ฺBitcoin Standard) ปี 2009
ระบบเงินอิเล็กโทรนิคที่มีความกระจายศูนย์อย่างสมบูรณ์ โดยไม่มีใครที่เป็นเจ้าของอย่างแท้จริง สกุลแรกของโลกคือ “Bitcoin” เมื่อระบบ Fiat System เริ่มสั่นคลอนจากการก่อหนี้ที่ไม่หยุดยั้งจากทางสหรัฐอเมริกาและ ประเทศอื่น ๆทั่วโลก ในยุคถัดไปก็มีโอกาสที่ตัว Bitcoin เองจะถูกนำมาใช้เป็นเงินของโลกได้ เพราะการจะกลับไปใช้ทองคำนั้นก็เป็นไปแทบไม่ได้แล้วเนื่องจากโลกยุคปัจจุบันขับเคลื่อนด้วย Internet แทบทุกอย่าง ทองคำอาจมีคุณสมบัติของเงินที่ดีในอดีตก็จริง แต่ Bitcoin นั้นเปรียบเสมือนทองคำ 2.0 ที่มี Feature ของ Internet เสริมเข้าไปด้วย ดังนั้นในยุคต่อจากนี้ Candidate ที่มีโอกาสมากที่สุดของการเงินยุคถัดไปก็คือตัว Bitcoin นั่นเอง