By Digital Trader • Publish in Trading Guide • Jul 09,2021 • 4 min read
การนับคลื่น Elliott Wave เทคนิคเทรดทำกำไรระยะยาว
สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นศึกษาการเทรดคริปโตโดยใช้ทฤษฎี Elliott Wave นั้น ในบทความนี้เราจะพามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ และที่มาที่ไปของการเกิดคลื่น Elliott Wave ตั้งเเต่จุดเริ่มต้น อีกทั้งยังไปทำความเข้าใจกับการนับคลื่น Elliott Wave เพื่อเป็นการปูพื้นฐานในการนับคลื่น Elliott Wave เทคนิคที่ใช้เทรดคริปโตเพื่อทำกำไรระยะยาว
การนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 1
หากสังเกตในมุมมองพฤติกรรมของผู้คนในตลาด เราจะเห็นได้ว่าการนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 1 (Wave 1) จะเป็นจุดที่มีปริมาณการซื้อเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้าอย่างมาก ส่งผลให้ราคาเกิดการปรับตัวสูง ซึ่งคลื่นลูกที่ 1 จะเป็นจุดที่เจ้าตลาด หรือนักลงทุนรายใหญ่พยายามดันราคาของสินทรัพย์ขึ้นไปเพื่อล่อให้นักลงทุนรายย่อยเริ่มสนใจสินทรัพย์นั้นๆ แล้วเข้าลงทุนแต่ในคลื่นลูกที่ 1 นั้นมักไม่ค่อยมีนักลงทุนรายย่อยเข้าซื้อได้ทัน เนื่องจากยังไม่เกิดรูปเเบบของ Elliott Wave ให้นักลงทุนรายย่อยหรือนักเทคนิคสามารถวิเคราะห์ได้ อีกทั้งยังไม่มีใครรู้ได้ล่วงหน้าว่าเจ้าตลาดจะเข้าซื้อสินทรัพย์ใดในช่วงเวลาใด
วิธีการนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 1 ให้ดูจากปริมาณการซื้อว่าปริมาณการซื้อที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นๆ มีการปรับตัวสูงขึ้นจนผิดปกติหรือไม่ ถ้าปริมาณการซื้อสูงขึ้นจนผิดปกติเเสดงว่ามีเจ้าตลาด หรือนักลงทุนรายใหญ่เข้ามากวาดซื้อสินทรัพย์ในช่วงเวลาสั้นๆ นั่นเอง
การนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 2
หลังจากนับคลื่น Elliott Wave และเกิดคลื่นลูกที่ 1 ขึ้นด้วยแรงซื้อที่มีปริมาณมาก ส่งผลให้ราคาเกิดการปรับตัวสูงขึ้นมาที่โซนแนวต้าน และเริ่มเกิดการย่อตัวลง และเกิดคลื่นลูกที่ 2 ขึ้น (Wave 2) ซึ่งสาเหตุมาจากรายย่อยที่ได้กำไรจากการซื้อที่ราคาต่ำจะเริ่มมาทำการเก็บกำไร รวมไปถึงรายย่อยที่เคยขาดทุน หรือติดดอยอยู่ก็จะเริ่มมีการปิดกำไรเช่นเดียวกัน จึงส่งผลให้ราคาเกิดการปรับตัวลงมานั่นเอง
โดยการนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 2 สังเกตได้จากการที่ราคาเริ่มเกิดแรงเทขาย และได้สร้างจุดกลับตัวจนทำให้เส้น Fast Moving Average เเละเส้น Slow Average ใน MACD เริ่มมีการตัดกันลงมา อีกทั้งในคลื่นลูกที่ 2 จะมีปริมาณการซื้อขายที่ต่ำลงมาอีกด้วย ซึ่งการกลับตัวลงมาของคลื่นลูกที่ 2 นี้จะต้องกลับตัวลงมาไม่ต่ำกว่าจุดเริ่มต้นที่เกิดคลื่นลูกที่ 1 เพราะถ้าหากเกิดการกลับตัวลงมาที่โซนนั้นจะไม่ถือว่าราคามีลักษณะเป็น Elliott Wave แต่จะถือว่าราคาเป็นการเคลื่อนตัวตามกรอบโซนแนวรับแนวต้านปกติ หรือการ Sideway นั่นเอง
การนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 3
หลังจากการนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 2 และราคาเกิดการย่อตัวลงมาในคลื่นลูกที่ 2 ด้วยการเทขาย และการปิดทำกำไรของนักลงทุนรายย่อยแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนั้นคือการที่เจ้าตลาด หรือนักลงทุนรายใหญ่จะเริ่มเข้ามาซื้อเพื่อดันให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง โดยเจ้าตลาดจะเริ่มทำการรับซื้อจากรายย่อยที่เทขายในช่วงคลื่นลูกที่ 2 นั่นเอง ซึ่งหลังจากที่รายย่อยเริ่มหยุดการขายแล้ว เจ้าตลาดก็จะเริ่มดันราคาขึ้น และก่อให้เกิดคลื่นลูกที่ 3 (Wave 3) โดยเจ้าตลาดจะทำการกวาดซื้อทรัพย์สินนั้นๆ เพิ่ม แต่แรงซื้อ และปริมาณการซื้อที่เกิดขึ้นจะมีปริมาณมากกว่าคลื่นลูกที่ 1 จนทำให้ราคาสามารถปรับตัวสูงขึ้นจนทะลุแนวต้านอีกครั้ง เนื่องจากในครั้งนี้เจ้าจะต้องดันราคาให้เกิดเป็นเทรนด์ขาขึ้นที่ชัดเจน เพื่อเรียกความสนใจ และล่อให้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อตามกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งคลื่นลูกที่ 3 นี้จะเป็นคลื่นที่ดึงดูดนักลงทุนทั่วไปให้มาสนใจสินทรัพย์นั้นๆ เพราะเมื่อราคาพุ่งสูงขึ้นมากๆ จะเหมาะเเก่การทำกำไร และช่วงนี้จะเป็นช่วงที่สินทรัพย์นั้นเริ่มเป็นที่รู้จักจนทำให้มีผู้คนเริ่มเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมากขึ้นด้วย
การนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 3 สังเกตได้จากการที่เส้น Fast Moving Average เเละเส้น Slow Average ใน MACD เริ่มมีการตัดกันขึ้นไปอีกครั้ง และ RSI จะเริ่มปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่โซน Overbought หรือมากกว่า 70
การนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 4
เป็นคลื่นแห่งการพักตัวลง โดยเกิดขึ้นหลังจากการนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 3 ราคาได้เกิดการปรับตัวสูงขึ้นมาสู่โซนแนวต้านซึ่งทำให้รายย่อยที่พอใจกับกำไรเริ่มมีการแบ่งปิดทำกำไร ส่งผลให้ราคาเริ่มย่อตัวลงอีกครั้งจนเกิดคลื่นลูกที่ 4 (Wave 4) แต่การพักตัวลงในคลื่นลูกที่ 4 นั้นจะมีความแตกต่างจากคลื่นลูกที่ 2 ตรงที่รายย่อยที่ปิดทำกำไรไปแล้วจะนำกำไรเข้าซื้อเพิ่ม รวมไปถึงนักลงทุนที่ให้ความสนใจในช่วงที่ราคาเกิดคลื่นลูกที่ 3 นั้น ก็จะนำเงินมาซื้อเพิ่มได้ด้วย ส่งผลให้ในคลื่นลูกที่ 4 มีปริมาณการซื้อขายเยอะกว่าคลื่นลูกที่ 3 นั่นเอง
โดยการนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 4 สังเกตได้จากการที่ราคาเริ่มเกิดสัญญาณขาย และสัญญาณการพักตัวในระยะสั้น ซึ่งจะทำให้ RSI เกิดการปรับตัวลงมาต่ำกว่าโซน Oversold รวมไปถึงเส้น Fast Moving Average เเละเส้น Slow Average ใน MACD ที่จะเริ่มมีการตัดกันลงมาในระยะเวลาสั้นๆ อีกด้วย
การนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 5
เป็นคลื่นสุดท้ายที่เจ้าตลาดจะเริ่มดันราคาไปพร้อมๆ กับรายย่อย ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากการนับคลื่น Elliott Wave และพักตัวของคลื่นลูกที่ 4 โดยราคาจะเริ่มเกิดการปรับตัวสูงขึ้นไปอีกครั้ง แต่ปริมาณการซื้อขายจะเริ่มลดต่ำลงกว่าคลื่นลูกที่ 3 เนื่องจากในคลื่นลูกที่ 5 (Wave 5) เกิดจากการที่นักลงทุนรายย่อยเริ่มเข้ามาทำการซื้อกันเป็นส่วนมาก ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการทำให้เกิดคลื่นลูกที่ 3 ที่เจ้าสร้างขึ้นเพื่อดึงดูดในผู้คนเริ่มเข้ามาสนใจในทรัพย์สินนั้นๆ และในคลื่นลูกที่ 5 นี้จะเป็นคลื่นสุดท้ายก่อนที่เจ้าจะเก็บกำไรจากรายย่อยด้วยการเทขายลงมานั่นเอง
การนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 5 สังเกตได้จากการที่ราคาเกิดการปรับตัวสูงขึ้นทำให้เส้น Fast Moving Average เเละเส้น Slow Average ใน MACD เริ่มมีการตัดกันขึ้น แต่ปริมาณการซื้อกลับลดลงต่ำกว่าปริมาณการซื้อในคลื่นลูกที่ 3
การนับคลื่น Elliott Wave คลื่น A
การนับคลื่น Elliott Wave คลื่น A จะเกิดหลังจากคลื่นลูกที่ 5 โดยหลังจากที่รายย่อยเริ่มทำการเข้าซื้อมากขึ้นจนเจ้าตลาดทำกำไรได้พอสมควร เจ้าจะค่อยๆ เริ่มทำการเทขายเพื่อปิดทำกำไรเป็นครั้งแรกด้วยปริมาณการขายที่มีปริมาณมาก ซึ่งจะทำให้ราคาเกิดการปรับตัวลดลงอย่างฉับพลันจนเกิดคลื่น A (Wave A) และถือเป็นการจบเทรนด์ขาขึ้นอย่างเป็นทางการนั่นเอง
การนับคลื่น Elliott Wave คลื่น A สังเกตได้จากปริมาณการเทขายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างฉับพลัน ส่งผลให้ราคาเกิดการปรับตัวลง ซึ่งจะทำให้ RSI เกิดการปรับตัวลงมาต่ำกว่าโซน Oversold รวมไปถึงเส้น Fast Moving Average เเละเส้น Slow Average ใน MACD ที่จะเริ่มมีการตัดกันลงมาในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่ในคลื่น A นี้ นักลงทุนรายย่อยที่ขาดทุน หรือติดดอยอยู่จะยังคงรอคอยอย่างมีความหวังที่ราคาจะเกิดการปรับตัวสูงขึ้นในเร็ววัน ซึ่งจะยังไม่ตัดขาดทุน หรือยอมขายออก
การนับคลื่น Elliott Wave คลื่น B
Elliott Wave คลื่น B เป็นคลื่นแห่งความหวัง ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากการเทขายอย่างฉับพลันของคลื่น A โดยเป็นการที่ราคาเกิดแรงซื้อคืนกลับที่โซนแนวรับ ส่งผลให้ราคาเกิดการปรับตัวสูงขึ้นในระยะสั้น แต่การเกิดแรงซื้อคืนกลับในครั้งนี้เกิดจากแรงซื้อของนักลงทุนรายย่อยเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้ปริมาณการซื้อค่อนข้างที่จะต่ำ ถึงแม้ราคาจะขึ้นด้วยปริมาณการซื้อที่ต่ำมันก็สามารถทำให้ผู้คนในตลาดมีความวัง และความเชื่อมั่นมากพอที่จยังคงถือทรัพย์สินนั้นต่อไปได้
การนับคลื่น Elliott Wave คลื่น B สังเกตได้จากราคาที่เริ่มมีสัญญาณการซื้อกลับที่โซนแนวรับซึ่งจะทำให้เส้น Fast Moving Average เเละเส้น Slow Average ใน MACD เริ่มมีการตัดกันขึ้นแม้จะมีปริมาณการซื้อที่ต่ำ
การนับคลื่น Elliott Wave คลื่น C
คลื่น Elliott Wave คลื่น C เป็นคลื่นลูกสุดท้ายที่ทำลายความหวัง และความเชื่อมั่นของผู้คนในตลาด ซึ่งจะเกิดหลังจากที่นักลงทุนรายย่อยนั้นได้ทำการซื้อคืนกลับในคลื่น B โดยจากนั้นเจ้าตลาดจะทำการเทขายลงมาอย่างหนักอีกครั้งด้วยปริมาณการขายที่มากจนทำให้ราคาสามารถปรับตัวลงทะลุโซนแนวรับใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ต่างจากในช่วงที่เกิดคลื่น A คือสภาวะของตลาดที่จะทำให้นักลงทุนรายย่อยหมดความหวังและหมดความเชื่อมั่นต่อตลาดอย่างมาก จนทำให้ผู้คนต่างพากันเทขายอย่างต่อเนื่อง
โดยการนับคลื่น Elliott Wave คลื่น C สังเกตได้จากปริมาณการเทขายที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาเกิดการปรับตัวลดลง ซึ่งจะทำให้เส้น Fast Moving Average เเละเส้น Slow Average ใน MACD ตัดกันลงมาในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยต้องยอมตัดขาดทุนเพื่อเทขายในทุกๆ ราคา
Elliott Wave คือการทำความเข้าใจพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาด ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจถึงพฤติกรรมที่ส่งผลต่อการซื้อขายได้มากยิ่งขึ้น และการนับคลื่น Elliott Wave ถือเป็นอีกหนึ่งหลักการในการเทรดที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำเครื่องมือ หรือตัวชี้วัดต่างๆ มาประยุกต์ใช้ได้อย่างหลากหลาย เเต่ก็ยังมีผู้คนอีกมากที่นำการนับคลื่น Elliott Wave ไปนับโดยไม่เข้าใจที่มาที่ไปของเเต่ละคลื่นอย่างถ่องเเท้ จึงทำให้เกิดความสับสนได้อย่างง่ายดาย จนทำให้ไม่สามารถทำกำไรได้จากเทคนิค การนับคลื่น Elliott Wave ได้นั่นเอง
Next article
Content Creator
Digital Trader ผมวิเคราะห์ตามหลักสถิติประยุกต์ หลักการของแท่งเทียน และประสบการณ์ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา
การนับคลื่น Elliott Wave เทคนิคเทรดทำกำไรระยะยาว
สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นศึกษาการเทรดคริปโตโดยใช้ทฤษฎี Elliott Wave นั้น ในบทความนี้เราจะพามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ และที่มาที่ไปของการเกิดคลื่น Elliott Wave
Digital Trader
Jul 09,2021
4 min
Dow Theory ทฤษฎีอมตะใช้เทรดคริปโต
Dow Theory หรือ ทฤษฎีดาวนั้น มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี ถูกคิดค้นโดยบุคคลที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งการวิเคราะห์ทางเทคนิคของฝั่งตะวันตกนามว่า C
Digital Trader
Jun 25,2021
4 min