Bull Trap คืออะไร ?

เขียนโดย Digital Trader • หมวดหมู่ คริปโท 101 • 18 ก.ค. 2564 • เวลาอ่าน 3 นาที

Bull Trap คืออะไร ?

ในตลาด Cryptocurrency ความผันผวนของราคานั้นถือเป็นเรื่องปกติ และนักลงทุนที่อยู่ในตลาดมาเป็นเวลานานจะรับมือกับการเคลื่อนไหวของราคาได้ค่อนข้างดี แต่ในหลายครั้งมักจะเกิดเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า Bull Trap ที่จะทำให้นักลงทุนทั้งมือใหม่ และมือเก่าหลงกลกับดักในรูปแบบนี้ได้ จนเป็นสาเหตุของการขาดทุนหรือล้างพอร์ตในที่สุด

Bull Trap หรือที่นักลงทุนบางท่านอาจจะคุ้นเคยกันในชื่อว่า “กับดักกระทิง” ซึ่งลักษณะการเกิด Bull Trap คือเมื่อตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้นมาเป็นเวลานาน และเกิดการกลับตัวลงมาในระยะสั้น จนกระทั่งกลับตัวขึ้นอีกครั้ง และส่งผลให้ราคาทะลุแนวต้านขึ้นไป ซึ่งในลักษณะนี้นักลงทุนหลายรายจึงเข้าใจว่าเป็นการย่อตัวหรือเป็นการพักฐานก่อนที่ราคาจะไปต่อ จนเป็นเหตุให้ทำการเข้าซื้อในช่วงราคานั้นๆ แต่แท้ที่จริงแล้วสิ่งนี้คือกับดักของตลาด เพราะในเวลาต่อมาจะเกิดแรงเทขายจนราคาวิ่งกลับ และสวนไปอีกทาง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้นักลงทุนหลายรายโดยเฉพาะมือใหม่มักขาดทุนหรือล้างพอร์ตจากเหตุการณ์ในลักษณะนี้

Img

Bull Trap เกิดตอนไหน ?

สิ่งที่น่าสนใจคือการเกิด Bull Trap นั้นมักเกิดในช่วงปลายของตลาดกระทิง (ตลาดขาขึ้น) เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้ทำการซื้อตามเทรนด์ ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดเกิดความไม่แน่นอนของราคา หลังจากการเกิด Sell off (การเทขายหนัก) จะเกิด Bullish Candle ทะลุแนวต้านสำคัญอย่างเช่น High เดิมหรือ Trendline เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้ทำการเข้าซื้อ แต่สุดท้ายเกิดแรงเทขายอย่างหนักเข้ามา ส่งผลให้นักลงทุนจำนวนมากเปลี่ยนสถานะฝั่งซื้อเป็นฝั่งขายแทน นอกจากนี้การเกิด Bull Trap ยังเป็นตัวที่ไว้ใช้สำหรับคาดการณ์สถานะการเกิดฟองสบู่ของตลาดอีกด้วย

ควรระวังหรือแก้ไขอย่างไรหากเข้าซื้อไปแล้ว

การลงทุนในตลาด Cryptocurrency ที่มีความผันผวนของราคาที่สูงกว่าในตลาดอื่น ต้องระวังกับการเกิด Bull Trap เป็นพิเศษ เนื่องจากราคาสามารถเคลื่อนตัวได้ในกรอบที่กว้างกว่า อีกทั้งนักลงทุนสาย Margin และ Leverage ทั้งหลายอาจเกิดการล้างพอร์ตได้ในระยะเวลาอันสั้น

1. วางแผนให้ดีก่อนเข้าเทรด

สัญญานการเกิด Bull Trap ไม่มีบอกในตำราไว้อย่างชัดเจน แต่ส่วนมากจะมี Volume เข้าซื้อมากในระยะสั้นทำให้เกิดแรงซื้อจำนวนมาก แล้วสุดท้ายเกิดแรงเทขายส่วนลงมาในระยะสั้น ดังนั้นนักลงทุนที่ดีควรมีแผนการเข้าเทรด นั่นคือมีจุดซื้อ และจุดขายที่ชัดเจน เนื่องจากมีการคำนวณเรื่องเงินทุนของตนเองมาบ้างแล้ว สามารถทำการแบ่งไม้ถัวเฉลี่ยเพื่อให้ได้ต้นทุนที่ต่ำลง และขายเมื่อราคากลับขึ้นมาช่วยให้สามารถลดความเสียหายจากการเกิด Bull Trap ได้ และสามารถรักษาเงินต้นเอาไว้ได้อีกด้วย

ตัวอย่าง การเฝ้ารอดูสัญญาณ Bull Trap คือหลังจากการเกิด Strong move หรือการเคลื่อนตัวขึ้นแบบรุนแรงของแท่งสีเขียวขึ้นไปที่จุด A ก่อนพิจารณาทำการเข้าซื้อหรือขายนั้นจะต้องเฝ้ารอให้มีการเกิด Bull Trap เกิดขึ้นก่อน จากภาพข้างล่างนี้เป็นลักษณะของ “Pinbar” ซึ่งเป็นสัญญาณการยืนยัน "กับดัก" ของฝั่งขาขึ้นชัดเจน และกราฟมีโอกาสกลับตัวลงสูง

Img

2. ตัดขาดทุน (Stop Loss)

นักลงทุนมือใหม่ และผู้ที่มีประสบการณ์หลายรายมักที่จะไม่ Stop Loss เพราะคิดว่าอีกไม่นานราคาก็คงปรับตัวไปอีกทาง แต่ในตลาด Cryptocurrency อะไรก็เกิดขึ้นได้ ทั้งนี้การ Stop Loss ควรทำเมื่อเกิดการ Break Trendline ขาลงแบบปิดแท่งเต็ม ความผันผวนทำให้นักลงทุนเกิดการล้างพอร์ตกันมาหลายราย ดังนั้นเราควรตัดขาดทุนหากตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ เพื่อจะรักษาเงินต้นเอาไว้ และทำกำไรในช่วงเวลาที่เหมาะสม นักลงทุนอาจจะตั้งจุด Stoploss เหนือ High ของแท่งกลับตัวมากกว่าปกติ

Img

ดิจิตอล เทรดเดอร์

ผู้เขียน

บทความที่เกี่ยวข้อง

Momentum Indicator คืออะไร ใช้เทรดคริปโตอย่างไร?
คู่มือการเทรด

Momentum Indicator คืออะไร ใช้เทรดคริปโตอย่างไร?

การวิเคราะห์กราฟคริปโตนั้นมีอยู่หลากหลายเทคนิค ซึ่งแต่ละเทคนิคจำเป็นต้องใช้ความชำนาญทั้งสิ้น ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในการเทรดคริปโตมากที่สุดเครื่องมือหนึ่งนั่นก็คือ “Momentum Indicator ” เพราะการใช้ Momentum Indicator นั้นจะช่วยให้นักลงทุนทั้งหลายเห็นสภาพของตลาดในช่วงระยะเวลานั้นๆ ว่าราคากำลังขึ้นหรือลงนั้นมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด

ดิจิตอล เทรดเดอร์

16 ก.ค. 2564

3 นาที

การนับคลื่น Elliott Wave เทคนิคเทรดทำกำไรระยะยาว
คู่มือการเทรด

การนับคลื่น Elliott Wave เทคนิคเทรดทำกำไรระยะยาว

สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นศึกษาการเทรดคริปโตโดยใช้ทฤษฎี Elliott Wave นั้น ในบทความนี้เราจะพามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ และที่มาที่ไปของการเกิดคลื่น Elliott Wave

ดิจิตอล เทรดเดอร์

09 ก.ค. 2564

4 นาที