By Digital Trader • Publish in Market Trends / Insight • May 05,2021 • 3 min read
Next article
Content Creator
Digital Trader ผมวิเคราะห์ตามหลักสถิติประยุกต์ หลักการของแท่งเทียน และประสบการณ์ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา
Tether โครงการก่อตั้งเหรียญ USDT เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2014 เกิดจาก Brock Pierce, Reeve Collins และ Craig Sellars มีแนวคิดที่จะสร้างสกุลเงินดิจิทัลมาเพื่อลดช่องว่างกับสกุลเงิน Fiat
ประเทศจีนเป็นประเทศที่เริ่มใช้ Concept ของ Digital Currency เป็นประเทศแรกๆ ในโลก โดยจีนมี เหรียญดิจิทัลเป็นของตัวเองมาตั้งแต่ปี 2014 แม้ว่าในช่วงแรกๆ จะยังไม่ได้ใช้ชื่อ Digital Yuan ก็ตาม
Digital Trader
Apr 19,2021
3 min
Digital Trader
Apr 07,2021
3 min
Shadow Banking คืออะไร?
Shadow Banking คือ ตัวกลางใดๆ ที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนเงินระหว่างผู้กู้กับผู้ปล่อยกู้โดยไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งผู้กู้สามารถเสนอดอกเบี้ย หรือผลตอบแทนที่สูงกว่าผลตอบแทนเงินฝาก หรือดอกเบี้ยธนาคารทั่วไป
ตัวอย่างการสร้างผลตอบแทนของ Shadow Banking ในตลาด Cryptocurrency ง่ายๆ ความเสี่ยงต่ำๆ เช่น เหล่าบริษัทที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-Bank Firms) ที่สนใจใน Cryptocurrency ปล่อยกู้ให้ Hedge Fund (กองทุนบริหารความเสี่ยง) ยืมดอลลาร์ไปซื้อ Bitcoin โดยคิดดอกเบี้ย 12%
การกระทำของ Non-Bank Firms นี้คือทำตัวเหมือนธนาคารโดยการปล่อยกู้และคิดดอกเบี้ย เเต่ไม่ใช่ธนาคาร จึงนับว่าเป็นหนึ่งใน Shadow Banking
จากตัวอย่าง ทำไมบริษัทอื่น หรือ Hedge fund ยอมจ่ายดอกเบี้ยแพงๆ ไม่กู้เงินผ่านธนาคาร หรือกู้ แบบ P2P นั่นก็เพราะไม่มีธนาคารไหนบนโลกจะอนุมัติการขอกู้เงินดอลลาร์มาลงทุน Crypto หรือ Digital Asset ขณะที่การกู้แบบ P2P ก็ไม่มีเงินสดเพียงพอที่จะให้กู้ปริมาณมาก
การทำกำไรบนโลก Crypto ของ Shadow Banking
บริษัทอย่าง BitGo, BlockFi, Galaxy Digital ที่เห็นถึงช่องว่างเหล่านี้ ทำตัวเป็น Shadow Banking โดยเสนอเงินดอลลาร์ให้ Hedge Fund กู้โดยคิดผลตอบแทน หรือดอกเบี้ยประมาณ 12-40% แน่นอนว่าการกระทำแบบนี้ยังไม่มีธนาคารพาณิชย์ หรือโบรคเกอร์ใดๆ เคยทำมาก่อน และแทบไม่ผ่านการกำกับดูแลของธนาคารกลาง ไม่มี FDIC Insurance (การประกันเงินฝากจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ) และการคุ้มครองผู้บริโภคอื่นๆ ตามกฏหมาย จึงถูกเรียกว่าเป็น Shadow Banking เช่นเดียวกับการขายพันธบัตร หรือตราสารหนี้เพื่อระดมทุน
ยืม Shadow Banking ไปต้องทำกำไรได้เกิน 20 - 40% จริงหรือไม่?
เรามาดูตัวอย่างการทำกำไรราคา Spot ของ BTC กับราคาสัญญาอนุพันธ์กัน เช่น วันที่ 15 มีนาคม 2564 ราคา Bitcoin 1 BTC ประมาณ $56,000 ในขณะที่ราคา Future ของ CME Group ในเดือนกรกฏาคม 2564 อยู่ที่สัญญาละ $60,385
Hedge Fund จะซื้อ Bitcoin ที่ราคา $56,000 และขาย Futures (อนุพันธ์นั้นจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหากราคา Bitcoin ต่ำลง) ล็อค Spread 7.7% ระหว่างเงินสด และราคา Futures เมื่อคิดผลตอบแทนระหว่างวันที่ 15 มีนาคม 2564 จนถึงวันที่สัญญา Futures หมดอายุจะให้ผลตอบแทนที่ 21%
ดังนั้น Hedge Fund ยินดีจ่ายผลตอบแทน 12% ให้ Shadow Banking เพื่อขอกู้เงินมาซื้อ Bitcoin เพื่อได้รับผลตอบแทน 21% จากการล็อค Spread (ค่าความต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย) ในขณะที่ Spread ระหว่าง Spot และ Futures สูงขึ้น
Crypto Shadow Banking ทำเงินสดขาดตลาด!
อีกสาเหตุที่ทำให้เงินสดขาดตลาดคือ เหล่า Cryto Shadow Banking กู้ยืมไปซื้อ Stablecoin ที่ Backed ด้วยสกุลเงินท้องถิ่น เพื่อปล่อยกู้อีกที เพราะการใช้ Stablecoin มีสภาพคล่องกว่า รวดเร็วกว่า และค่าธรรมเนียมน้อยกว่าการใช้เงินสด สาเหตุเหล่านี้เองทำให้เราแทบไม่เห็นผู้ให้กู้คิดดอกเบี้ยต่ำกว่า 10% เลย ใครที่ไม่ชอบความเสี่ยงจากการซื้อขาย Cryptocurrency ที่ราคามีความผันผวนสูง ก็เลือกที่จะเป็นผู้ปล่อยกู้แทน (การออก Stablecoin โดยปกติจะทำได้ก็ต่อเมื่อฝากสกุลเงินท้องถิ่นเข้าไปใน Exchange เพื่อแลกเป็น Stablecoin ในอัตราส่วน 1:1 อันนี้ไม่รวมกรณีของ Tether/Stablecoins อื่นๆ ที่มีข้อครหาอยู่ในปัจจุบัน)
แน่นอนว่าไม่มีใครควบคุมกลไกตลาดได้ (ยกเว้น Tweet ของ Elon Musk !) เมื่อราคา Bitcoin ร่วงส่งผลให้ Spread ระหว่าง Spot กับ Future ลดลงเช่นกัน ผลตอบแทนจึงลดลงด้วย บางครั้งก็อาจไม่คุ้มดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายคืน Shadow Banking จากการกู้ยืม ฉะนั้นอย่าลืมศึกษาความเสี่ยงที่รับได้ก่อนลงทุนทุกครั้ง