By Digital Trader • Publish in Crypto 101 • May 10,2021 • 3 min read
หนึ่งในการลงทุน Cryptocurrency ที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน คือการเทรด ซึ่งองค์ประกอบสำคัญในการเทรดก็คือ ตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลหรือ Exchange นั่นเอง โดยในโลกการลงทุน Cryptocurrency จะมี Exchange อยู่ 2 แบบซึ่งจะเรียกว่า Centralized Exchange (Cex) และ Decentralized Exchange (Dex)
ทำความเข้าใจ Centralized Exchange (Cex) ก่อน
ตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลหรือ Exchange เป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายที่ได้รับความนิยมสูง ผู้ใช้งานสามารถซื้อขายระหว่าง Cryptocurrency ด้วยกันเอง หรือซื้อขายระหว่าง Cryptocurrency กับเงิน Fiat ก็ได้ โดยมีบริษัทเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน ซึ่ง Exchange ที่นักลงทุนทั่วไปใช้กันจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้
โดยผู้ใช้งานไม่จำเป็นจะต้องถือ Private Key ด้วยตัวเอง เนื่องจากทาง Exchange จะมีหน้าที่ในส่วนนี้แทน ผู้ใช้งานเพียงเเค่รักษา Username และ Password เพื่อใช้เข้าสู่ระบบก่อนทำการซื้อขายเท่านั้น และส่วนใหญ่ ผู้ใช้งานจะต้องทำการ KYC เพื่อยืนยันตัวตนเสียก่อน
การใช้งานก็ง่ายมาก หลังจากสมัคร และทำการ KYC ก็สามารถที่จะทำการฝากเงินเข้าระบบเพื่อทำการซื้อขายได้เลย ประกอบกับความรวดเร็วในการซื้อขาย หรือถอนเงินก็สามารถทำได้เพียงใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที ดังนั้น Exchange ลักษณะนี้จึงเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับนักลงทุนในปัจจุบัน
ข้อควรระวังของ Centralized Exchange
เนื่องจากเป็นระบบที่มีตัวกลาง ดังนั้นต้องระวังในเรื่องของผู้ให้บริการ เนื่องจากสามารถเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การหยุดให้บริการอย่างกะทันหัน และขโมยเงินของนักลงทุนไป หรือปัญหาในการถูก Hack เพื่อเข้ามาขโมยใน Exchange ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง จึงควรเลือกลงทุนกับ Exchange ที่ได้รับการรับรองถูกต้องตามกฎหมายและมีระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด
Decentralized Exchange (Dex) คืออะไร
เป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายแบบที่ไม่มีตัวกลางมาควบคุม โดยการทำงานของ Decentralized Exchange จะอยู่บนเทคโนโลยี Blockchain นั่นหมายความว่าผู้ใช้งานจะสามารถทำธุรกรรมโดยตรงผ่านกระบวนการอัตโนมัติในลักษณะแบบ Peer-to-Peer แต่การซื้อขายบน Decentralized Exchange จะทำได้แค่ระหว่าง Cryptocurrency ด้วยกันเท่านั้น
Decentralized Exchange มีทั้งหมด 3 รูปแบบคือ
1. On-Chain Order Books
ทุกกระบวนการจะดำเนินอยู่บน Blockchain คำสั่งซื้อ-ขาย จะถูกเขียนลงใน Blockchain ทั้งหมด ซึ่งเป็นรูปแบบที่น่าเชื่อถือมากที่สุด เพราะไม่มีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องเลยทั้งการส่งคำสั่งซื้อ และขายแต่ปัญหาในการใช้งานจริงคือจะต้องรอการยืนยันจากทุกคนในโหนดบนเครือข่ายเพื่อบันทึกคำสั่งซื้อขายก่อน ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างนาน ตัวอย่างของ Decentralized Exchange แบบนี้คือ Stellar และ Bitshares DEX
2. Off-Chain Order Books
รูปแบบนี้การทำงานในบางส่วนจะยังอยู่นอก Blockchain เพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงาน โดยคำสั่งซื้อขายจะถูกเก็บไว้กับส่วนกลางที่รับผิดชอบรายการ Order นั้นๆ ก่อน จนกว่าคำสั่งซื้อขายระหว่างผู้ใช้จับคู่ได้เเล้ว การซื้อขายถึงจะดำเนินการบน Blockchain กับคู่สัญญานั้นๆ ตัวอย่างของ Decentralized Exchange แบบนี้คือ Binance DEX, IDEX และ EtherDelta
3. Automated Market Maker (AMM)
จะไม่มีการใช้ Order Book มาเกี่ยวข้องเลย การทำงานคือ Smart Contract จะเก็บสภาพคล่องสำรอง(Liquidity Reserve) ไว้ เพื่อให้นักเทรดสามารถทำการซื้อขายโดยใช้ Liquidity Provider เป็นผู้ให้สภาพคล่องสำรอง โดยผู้ใช้งานทุกคนสามารถเป็น Liquidity Provider โดยฝากเงินเข้าไปได้ ตัวอย่าง Decentralized Exchange แบบนี้คือ Uniswap และ Kyber Network
หลักการทำงานของ Uniswap จะไม่มี Order Book เกิดขึ้น โดยปกติ Exchange ทั่วไปจะต้องมี Order Book เพื่อทำให้เกิดการซื้อขาย แต่กรณีของ Uniswap จะใช้โมเดลการทำงานที่ประกอบไปด้วย Liquidity Provider เพื่อทำการสร้าง Liquidity Pool ระบบนี้ช่วยให้เกิดกลไกการกำหนดราคาแบบ Decentralized เพื่อช่วยจัดการ Order Book Depth หากจะกล่าวอย่างง่ายคือผู้ใช้สามารถ Swap (แลกเปลี่ยน) ระหว่าง ERC-20 Token ได้โดยไม่ต้องมี Order Book
ข้อดีของ Decentralized Exchange (Dex)
ผู้ใช้งานในฝั่ง Decentralized Exchange จะเป็นผู้ดูแล Private Key ด้วยตนเอง ทำให้มุมมองด้านความปลอดภัยของ Exchange รูปแบบนี้อยู่ในระดับที่สูงมาก ลดปัญหาการถูก Hack ถูกขโมยเหรียญได้ค่อนข้างมาก
ปัญหาของ Decentralized Exchange
1. สามารถซื้อขายได้เฉพาะ Cryptocurrency เท่านั้น โดย Decentralized Exchange ส่วนมากจะมีระบบอยู่บน Blockchain ของ Ethereum (ERC-20) หากผู้ใช้ต้องการซื้อขาย Cryptocurrency สกุลอื่นๆ อย่าง Bitcoin หรือ XRP จะไม่สามารถทำได้
2. สภาพคล่องของ Decentralized Exchange ค่อนข้างต่ำ ยกตัวอย่างเช่น Uniswap ที่ปริมาณการซื้อขายอยู่เพียงแค่วันละ 6 ล้านดอลลาร์เท่านั้น หากเทียบกับ Binance ที่มีปริมาณการซื้อขายต่อวันสูงถึง 4 พันล้านดอลลาร์
3. Decentralized Exchange มักเกิดความล่าช้า เนื่องด้วยระบบการทำงานอยู่บน Blockchain ดังนั้นการแลกเปลี่ยนไม่ได้เกิดขึ้นในทันที จะต้องรอการยืนยันจากผู้ใช้งานที่มาติดต่อซื้อขายด้วยเสียก่อน ประกอบกับปริมาณการซื้อขายในแต่ละวันที่น้อย จึงทำให้การทำงานใช้เวลามากขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ
แพลตฟอร์มการซื้อขายทั้งรูปแบบ Centralized Exchange และ Decentralized Exchange มีลักษณะเด่น เเละด้อยที่แตกต่างกันไป ดังนั้นขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานหากต้องการความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยก็เลือกใช้ Decentralized Exchange แต่ถ้าหากต้องการความรวดเร็วในการซื้อขาย และทำธุรกรรมควรจะเลือกใช้ Centralized Exchange เพื่อการซื้อขาย Cryptocurrency ซึ่งนักลงทุนก็สามารถเลือกลงทุนเองได้ ตามสไตล์การลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง
Next article
Content Creator
Digital Trader ผมวิเคราะห์ตามหลักสถิติประยุกต์ หลักการของแท่งเทียน และประสบการณ์ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา
Bitcoin Halving สิ่งที่นักลงทุนใน Bitcoin ทั้งหลายควรติดตาม
ก่อนที่เราจะเข้าใจว่า Bitcoin Halving คืออะไร เราต้องเข้าใจก่อนว่า Bitcoin นั้นมีจำนวนจำกัดอยู่ที่ 21 ล้าน Bitcoin เท่านั้น และไม่สามารถทำการเพิ่มขึ้นได้เนื่องจากโครงสร้างของตัวสกุลเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin ทั้งหมดถูกเข้ารหัสไว้อย่างจำกัดเพียง 21 ล้าน Bitcoin เท่านั้น ซึ่งการที่จะได้ Bitcoin มาครอบครองนั้นจะต้องผ่านกระบวนการที่เรียกว่าการขุด (Mining) โดยนักขุด Bitcoin ที่ค้นพบบล็อกใหม่สำเร็จเป็นคนแรกก็จะได้ Reward (รางวัล) เป็น Bitcoin นั่นเอง
Digital Trader
Mar 08,2021
3 min